โดย MoneyGuru, ในหมวดหมู่ "เคล็ดลับการเงิน,ไลฟ์สไตล์"
July 13, 2017
อำนาจมหัศจรรย์ของป้าย Sales มันทำให้คุณซื้อสิ่งที่คุณไม่คิดจะซื้อมันตั้งแต่แรก นักช็อปบางคนคงคิดว่าป้าย Sales สีแดงตัวใหญ่นน่าดึงดูดใจนั้นเป็นโอกาสทองของคุณ ผิดถนัด เป็นช่วงเวลาทองของเหล่าร้านค้าต่างหาก เพราะว่าป้าย Sales สีแดงตัวโตที่คุณเห็นน่ะ เป็นเพียงสิ่งที่เรียกร้องความสนใจของคุณเท่านั้น (ซึ่งได้ผลเสมอด้วย) เพื่อซื้อสินค้า Sales ที่อันที่จริงถูกเพิ่มราคาให้แพงกว่าปกติ แล้วลดราคาให้เท่ากับราคาขายจริง หรือบางที่ขึ้นป้ายหน้าร้านตัวเบอเร่อว่า up to 70% แต่พอเดินเข้าไปในร้านจริง แทบทั้งร้านลดไปเพียง 10% มีสินค้าเพียงไม่กี่อย่าง (ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่น่าซื้อเสียด้วย) ที่ลดราคา 70% จริง
แบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ จะมีกลอุบายให้คุณเสีงเงินได้ง่ายขึ้น หนึ่งในกลอุบายนั้นคือขนาดของเสื้อผ้า คุณคงเคยสงสัยว่าทำไมกันนะ คุณใส่เสื้อผ้าไซส์ S จากแบรนด์หนึ่งได้ แต่กลับต้องใส่ไซส์ M สำหรับเสื้อผ้าของอีกแบรนด์ นั่นเป็นกลอุบายที่ส่งผลทางจิตใจนั่นเอง โดยเฉพาะจิตใจของผู้หญิง ที่มักคิดว่าการสวมใส่เสื้อผ้าไซส์ S แสดงว่ามีรูปร่างสวย หุ่นดี เพรียวบาง นั่นเอง เสื้อผ้าบางแบรนด์จึงลดไซส์ลง เช่น เสื้อผ้าขนาดจริงไซส์ M แต่แปะป้ายไซส์ S เพื่อให้คุณตัดสินใจซื้อได้ง่ายมากขึ้น
แบรนด์เสื้อผ้ามากมายที่ออกสินค้าร่วมกับคนดัง ซึ่งแน่นอนมันบวกราคาเพิ่มเข้าไปอีกหลายเท่า เพราะความพิเศษหรือที่เรียกว่า Exclusive นั่นเอง ซึ่งสิ่งที่พิเศษนั้นมีเพียงแค่คำว่า Limited Edition เท่านั้น คุณภาพของเสื้อผ้าที่ออกร่วมกับคนดัง ก็ไม่ต่างอะไรจากเสื้อผ้าทั่ว ๆ ไปในร้านเลยแม้แต่นิดเดียว
นอกจากป้าย Sales สีแดงตัวใหญ่ที่ดึงดูดคุณแล้ว เสื้อผ้าลดราคาที่กองสุม ๆ เหมือนไม่มีค่านั้น ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดลูกค้าได้อย่างน่าประหลาด และมันถูกจัดวางแบบนั้นอย่างจงใจด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหลักจิตวิทยาต่อจากข้อที่แล้วที่จะทำให้คุณเสียเงิน เพราะเมื่อลูกค้าคุ้ยเจอเสื้อผ้าที่ถูกใจจากกองเสื้อผ้านั้น มันทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนว่าได้ค้นพบทองคำจากกองขยะ และทำให้รีบวิ่งไปจ่ายเงินทันทีเพราะกลัวจะถูกลูกค้าคนอื่นแย่งไปนั่นเอง
ผู้ผลิตหลายรายมักจะตั้งราคาเสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์ให้สูงเกินจริง จนใกล้เคียงเกือบจะเท่ากับเสื้อผ้าที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ซึ่งเป็นกลลวงทางจิตใจที่ทำให้คุณเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาแพงกว่า เพราะเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็ได้สินค้าที่มาจากธรรมชาติแล้ว มาจากธรรมชาติก็ต้องดีกว่าของสังเคราะห์แน่นอน ทั้งที่ในความเป็นจริงคุณภาพของเสื้อผ้าทั้งสองแบบไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย
หากคุณคิดว่าการไป Outlet จะทำให้คุณได้ของดี จากแบรนด์ราคาแพงในราคาถูก ๆ แล้วล่ะก็ คุณคิดใหม่ได้เลย เพราะสินค้าใน Outlet นั้นเป็นสินค้าคนละเกรดกับสินค้าที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือบูติกสุดหรู แบรนด์ดังเลือกที่จะผลิตสินค้าจากวัตถุดิบราคาถูก เพื่อวางขายใน Outlet โดยเฉพาะ เพื่อโกยเงินเพิ่มจากผู้ที่ไม่สามารถซื้อของราคาแพงจากบูติกหรือในห้างสรรพสินค้าได้
ในอดีต ปู่ย่าตายายสามารถส่งต่อเสื้อผ้ามาให้คุณจากรุ่นสู่รุ่น เพราะเสื้อผ้าเหล่านั้นถูกตัดเย้บมาอยากดี จากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ต่างจากในปัจจุบัน ที่คุณภาพถูกลดลงไปอย่างมากเพื่อลดต้นทุน เนื่องจากต้องผลิตเป็นจำนวนคราวละมาก ๆ และนอกเหนือจากนั้น ก็เพื่อให้เสื้อผ้ามีอายุขัยที่สั้นลง และคุณจะได้กลับมาเสื้อเงินซื้อส้นค้าเหล่านั้นซ้ำเมื่อมันพังเสียหายจนใส่ไม่ได้แล้วนั่นเอง
ผู้คนมากมายมักจะตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่ตลอด และเทรนด์นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้วงการธุรกิจเสื้อผ้าดำเนินต่อไปได้ แบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องสร้างเทรนด์ใหม่ ๆ ขึ้นมาอยู่เสมอ เพื่อให้เสื้อผ้ายังคงขายออกไปได้ตลอดเวลา มีเงินไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งของใหม่ ๆ เหล่านั้น ก็ทำให้คุณอยากได้ตลอดเวลา ยอมจ่ายเงินอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ในสมัยก่อนเทรนด์ใหม่ ๆ จะเกิดขึ้น 2 ครั้งต่อปีคือ Spring/Summer และ Autumn/Winter แต่ในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เพราะ Micro-Trend เกิดขึ้นระหว่างนั้นนับไม่ถ้วน เรียกว่าแทบจะทุกสัปดาห์เลยก็ว่าได้ เพื่อเพิ่มเม็ดเงินให้กับธุรกิจเสื้อผ้า
เห็นไหมคะว่าการตลาดและจิตวิทยานั้นสามารถแฝงไว้ได้ทุกที่จริง ๆ ซึ่งมันทำให้คุณต้องเสียเงินแบบงง ๆ ไม่รู้ตัว แถมยังไม่จำเป็นอีกด้วย ซึ่งเราหวังว่าสิ่งที่เราแอบนำมาบอกคุณผู้อ่านในวันนี้ จะช่วยให้คุณไม่หลงกล และไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุนะคะ เคล็บลับประหยัดเงินแบบนี้ยังมีอีกเพียบ หากผู้อ่านสนใจอ่านย้อนหลังสามารถเข้าไปที่ Blog จาก MoneyGuru.co.th ได้เลยค่ะ