เคลมสด คือ เคลมที่ต้องมีพนักงาน หรือตัวแทนบริษัทประกันลงพื้นที่เพื่อทำการตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ซึ่งก็คือเมื่อเกิดเหตุมีคู่กรณี หรือมีผู้บาดเจ็บ หรือรถประกันหรือรถคู่กรณีเสียหายมาก
ผู้ขับขี่รถประกันหรือรถคู่กรณีจะได้รับเอกสาร เป็นใบหลักฐานในการติดต่อเคลมค่าเสียหายจากพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุ ซึ่งสามารถนำไปติดต่ออู่ในเครือของบริษัทประกันภัยเพื่อดำเนินการซ่อมแซมรถยนต์ได้ทันที
เคลมแห้ง คือ การเคลมที่พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุไม่จำเป็นจะต้องออกไปตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุ ได้แก่ กรณีที่รถยนต์คันเอาประกันเสียหายเล็กน้อย หรือกกรณีเกิดอุบัติเหตุแบบไม่มีคู่กรณี การเคลมประกันรถยนต์ประเภทนี้ ผู้ขับรถประกันสามารถนำรถเข้าไปติดต่อซ่อมที่อู่ในเครือของบริษัทได้ด้วยตนเองตลอดเวลา แต่ต้องก่อนกรมธรรม์หมดอายุ
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ครอบคลุมการคุ้มครอง คือ ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนทุกคน ไม่ใช่แค่คุ้มครองแค่ผู้เอาประกัน และคนในรถเพียงอย่างเดียว จึงเป็นประกันที่จัดการความเสี่ยงได้ทั้งหมด เพราะท่านขับรถอยู่บนท้องถนนนั้น ท่านไม่ได้เป็นผู้ใช้ถนนเพียงคนเดียวนะแต่ยังมีผู้ที่ร่วมใช้รถใช้ถนนไปพร้อมๆ กับเราในเวลาเดียวกันด้วย รวมถึงผู้ที่ใช้ยานพานะทางบกด้วยกัน อาทิ รถยนต์ รถมอเตอร์ไซ หรือจักรยานเป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ที่เดินอยู่บนทางเท้าอีกด้วย
2.ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองในกรณีไฟไหม้
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เมื่อรถยนต์เกิดเหตุเพลิงใหม้ จนทำให้รถยนต์เกิดความเสียหาย จนรถยนต์เสียหายถึงบางส่วนซึ่งยังพอสามารถซ่อมแซมกลับมาใหม่ได้ แต่หากรถเสียหายเกินกว่า 70% จนไม่สามารถซ่อมแซมได้ ประกันจะคุ้มครองทั้งสองกรณีที่ว่ามา โดยหากไม่สามารถซ่อมได้ บริษัทจะจ่ายค่าสินไหมตามทุนประกัน และยึดซากรถเป็นของบริษัท หากยังพอซ่อมแซมได้ บริษัทจะดูแลค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
3.ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองกรณีน้ำท่วม
ประกันน้ำท่วมจะไม่ต่างจากกรณีไฟไหม้มากนัก เพราะหาก รถยนต์ได้รับการประเมินแล้วว่ายังพอสามารถซ่อมให้กลับมาคงเดิมได้ บริษัทประกันจะดูแลค่าใช้จ่ายในการซ่อมให้ หากไม่สามารถซ่อมได้แล้ว จะก็จ่ายค่าสินไหมตามทุนประกัน และยึดซากรถเป็นของบริษัท
4.ประกันรถยนต์ชั้น 1 คุ้มครองกรณีโจรกรรม
- อีกหนึ่งความคุ้มครองที่เหมาะสมมากกับยุคสมัย เพราะหากรถของคุณถูกขโมย คุณก็จะได้รับการคุ้มครองนั่นเอง
2. คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย
3. คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน
4. คุ้มครองความเสียหายต่อร่างการและชีวิตบุคคลภายนอก
5. คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
6. คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
7. คุ้มครองกรณีรถสูญหาย และไฟไหม้
8. คุ้มครองอุทกภัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
9. เงินประกันตัวสำหรับผู้ขับขี่
กฏระเบียบ ความคุ้มครองรถยนต์ กรณีรถยนต์หาย
กฏระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) นั้น มีการควบคุมบริษัทประกันภัยในเรื่องของการชดเชยค่าสินไหมกรณีรถหายอย่างชัดเจน โดยกรณีที่จะเข้าข่ายว่าบริษัทประกัน “ประวิงเวลา” การจ่ายค่าสินไหมทดแทน มีดังนี้
หากรถหาย และผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามแต่กรณี ได้เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยรถยนต์อย่างชัดเจนจากเหตุรถยนต์หาย โดยได้ดำเนินการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนและพนักงานสอบสวนได้รับคำร้องทุกข์อย่างเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว แต่ว่า บริษัทไม่ดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งจากผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ กรณีนี้นับเป็นการประวิงเวลา ถือว่าผิด
ในกรณีที่บริษัทประกันเกิดความสงสัยว่าการแจ้งขอค่าสินไหมชดเชยจากเหตุรถยนต์หาย ดำเนินไปอย่างไม่สุจริต และบริษัทประกันได้แจ้งแก่กรมการประกันภัยแล้ว แต่บริษัทยังไม่จ่ายค่าสินไหมชดเชยภายในเวลา 45 วันนับตั้งแต่เกิดเหตุรถยนต์หาย ถือว่าเป็นการประวิงเวลาเช่นกัน เว้นเสียแต่ว่า ประเด็นดังกล่าวมีมูล และอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีอาญากับผู้เอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์แล้วแต่กรณี
โดยในทั้งสองกรณีนี้ หากบริษัทประกันภัยไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนภายในเวลาที่กำหนด คปภ. จะถือว่าบริษัทประกันภัย ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน และสามารถลงโทษบริษัทประกันภัยได้โดยทำการเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทและเรียกเก็บค่าปรับได้ตามสมควร
ทุนเอาประกันภัย (Sum Insured) คือ จำนวนเงินสูงสุดที่ผู้รับประกันภัยจะต้องชดใช้ เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นตามสัญญา
ค่าสินไหมทดแทน (Claim Amount) คือ ความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้ ผู้รับประกันภัยชดใช้ โดยความเสียหายดังกล่าว เป็นผลมาจากภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ และมีจำนวนตามที่เสียหายจริง
ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible) คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบ เองในความเสียหายที่เกิดขึ้นในแต่ละครั้ง เช่นในการ ประกันภัยรถยนต์มีการกำหนดความเสียหายส่วนแรกไว้ที่ 2,000 บาท/ครั้ง ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นในแต่ละครั้ง หากความเสียหาย เท่ากับ 2,000 บาท หรือน้อยกว่า คุณจะไม่ได้รับการชดเชยจากทางบริษัทประกันภัย หากแต่คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หากความเสียหายของคุณเท่ากับ 3,000 บาทคุณจะจ่ายเพียงแค่ 2,000 บาทเท่านั้น ส่วนบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบส่วนที่เพิ่มขึ้น 1,000 บาทเอง
ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ
การทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ จะช่วยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากอุบัติเหตุรถยนต์ โดยให้ความคุ้มครองทุกคนที่ประสบภัยจากรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้า รวมถึงทายาทของผู้ประสบภัยด้วย และหากประสบภัยจากรถแล้วได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สิน ก็จะได้รับความคุ้มครองอีกเช่นกัน
รถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ได้แก่รถทุกชนิดทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร เป็นรถที่เจ้าของมีไว้ใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ ดังนั้น การที่มีรถบางประเภท กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นแล้วก็จัดเป็นรถที่ต้องทำประกันภัยตาม พ.ร.บ. ด้วย
ประเภทรถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ.
- รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และรถสำหรับผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
- รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด
- รถของกระทรวง ทบวงกรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และส่วนราชการท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น และรถยนต์ทหารตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร
- รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระขององค์กรใด ๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
การจ่ายค่าสินไหมทดแทน
ในปัจจุบัน ได้มีผู้ประกอบการคือบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ จำกัด จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายแห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 เข้ามาทำหน้าที่ในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน แก่ผู้ประสบภัยจากรถแทนบริษัทประกันภัยทุกบริษัทค่ะ โดยผู้ประสบภัยจะได้รับความคุ้มครองเมื่อประสบภัยจากรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร หรือคนเดินถนน หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถยนต์ จะได้รับการชดเชยค่าเสียหายที่แท้จริง แต่ไม่เกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด และไม่รวมถึงค่าเสียหายที่เกิดกับทรัพย์สิน
ความคุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้น
ทั้งนี้ ผู้ประสบภัยจากรถยนต์ จะได้รับความคุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้นตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (จ่ายทันทีโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความรับผิดภายใน 7 วัน) นั่นคือ ค่ารักษาพยาบาลตามการรักษาจริงไม่เกิน 30,000 บาทต่อคน และเมื่อรวมกับความเสียหายต่อชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรหรือสูญเสียอวัยวะ ที่ได้รับค่าสินไหมทดแทน 35,000 บาทต่อคน รวมแล้วจะมีวงเงินความคุ้มครองค่าเสียหายเบื้องต้นสูงสุดคนละ 65,000 บาท
ซึ่งในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้ขับขี่นั้น ให้ยึดตามอัตรามาตรฐานกลางค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากผู้ขับขี่รถประกันภัยที่เป็นฝ่ายกระทำผิดนั้น จะได้ถูกกำหนดสิทธิโดยกฎหมายให้ได้รับเพียงค่าเสียหายเบื้องต้น เพราะกฎหมายฉบับนี้ให้การคุ้มครองต่อบุคคลที่ถูกกระทำเป็นหลักเท่านั้น
ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1
คือประกันภัยรถยนต์ที่มีความครอบคลุมมากที่สุด ครอบคลุมทั้งยานพาหนะคันเอาประกัน และรถคันคู่กรณี ความเสียหายต่อชีวิต การบาดเจ็บ ของทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกัน และในรถยนต์คันคู่กรณี และยังมีความคุ้มครองกรณีรถยนต์เสียหายจากไฟไหม้ น้ำท่วม และการโดนโจรกรรมอีกด้วย
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2
มีความคุ้มครองครอบคลุมรองลงมา โดยจะยังให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันเอาประกัน ผู้โดยสารในรถยนต์คันเอาประกัน และรถยนต์คันคู่กรณี และผู้โดยสารในรถคันคู่กรณี ทั้งค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยความเสียหายของรถยนต์ และทรัพย์สินโดยจะต้องมีคู่กรณี และให้ความคุ้มครองกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรม และไฟไหม้ แต่ไม่คุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม หรืออุทกภัย
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+
คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน ทรัพย์สินในรถยนต์คันเอาประกัน และค่ารักษาพยาบาล ค่ายาของผู้โดยสารรถยนต์คันเอาประกัน กรณีมีคู่กรณี พร้อมคุ้มครองกรณีโจรกรรม และไฟไหม้ด้วย
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3+
คุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์คันคู่กรณี ทรัพย์สิน และผู้ขับขี่ ผู้โดยสารในรถยนต์คันคู่กรณี ส่วนคุ้มครองเพิ่มคือให้ความคุ้มครองรถยนต์คันเอาประกันในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี แต่จะไม่คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์คันเอาประกันหากไม่มีคู่กรณี ไม่มีความคุ้มครองกรณีน้ำท่วม ไฟไหม้ หรือโจรกรรม
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3
ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์คันคู่กรณี ผู้โดยสารในรถยนต์คันคู่กรณี และผู้โดยสารในรถคันคู่กรณี ทั้งค่ารักษาพยาบาล และค่าชดเชยความเสียหายของรถยนต์ และค่าชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินในรถยนต์คันคู่กรณีเท่นั้น ไม่มีการชดเชยค่าเสียหายสำหรับรถยนต์คันเอาประกัน และไม่คุ้มครองกรณีรถยนต์ถูกโจรกรรม ไฟไหม้ หรืออุทกภัยแต่อย่างใด
โดยพนักงานประกันภัย หรือ / ศูนย์ประกันภัยจะเป็นผู้เตรียมให้
รูปถ่ายเหตุการณ์และเอกสารอื่นๆ
รูปถ่ายเหตุการณ์สำหรับเป็นรูปคดีหรือกรณีบาดเจ็บต้องมีใบรับรองแพทย์และใบเสร็จรับเงินต้นฉบับ
เล่มทะเบียนรถยนต์
สำหรับยืนยันว่ารถของคุณ มีประกันในประเทศไทยหรือไม่
ใบขับขี่ รถยนต์
ของผู้ขับขี่ขณะเกิดเหตุ
บันทึกความเสียหาย
เอกสารแสดงรายการความเสียหายที่ทางเจ้าหน้าที่ ประกันภัยเป็นผู้ออกให้ฉบับจริง
หลักฐานชื่อพยานและรายละเอียดพยาน
พยานที่เห็นเหตุการณ์ในที่เกิดเหตุสามารถช่วยเรียกร้องสินไหมให้คุณได้ หากพี่ควรส่งรายละเอียดพยานให้กับประกันของท่านเพื่อที่ประกันจะได้ซักถามข้อมูลเพิ่มเติม
1.ข้อจำกัดความคุ้มครอง
แน่นอนว่ากรมธรรม์ประกันคงไม่สามารถให้ทุกสิ่งที่คุณต้องการได้ กฎต่างๆมีข้อยกเว้นเสมอ สำหรับกรณีประกันรถยนต์เราเรียกว่า ข้อจำกัดความคุ้มครอง ตัวอย่างเช่น ความคุ้มครองสำหรับการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อาจไม่ได้รวมอยู่ในประกันรถยนต์ของคุณ ประกันของคุณอาจไม่คุ้มครองอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ หรือความเสียหายใดๆ เมื่อเจ้าของรถคันที่เอาประกันไม่ได้เป็นคนขับเมื่อเปรียบเทียบหรือมองหาประกันรถยนต์ คุณควรเช็คว่ามีข้อจำกัดความคุ้มครองอะไรบ้าง บางทีประกันรถยนต์ที่คุณสนใจอาจไม่คุ้มครองสิ่งที่คุณต้องการ
2.ค่าเสียหายส่วนแรก
ค่าเสียหายส่วนแรกคือจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายจากกระเป๋าตนเองก่อนหรือหลังผู้ให้ประกันรถยนต์จ่ายค่าเสียหายส่วนที่เหลือ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณจะเคลมความเสียหายรถของคุณ ด้วยวงเงินความคุ้มครองอยู่ที่ 100,000 บาท อาจมีค่าเสียหายส่วนแรก 2,000 บาท ซึ่งหมายความว่า คุณต้องจ่ายค่าความเสียหายรถเป็นเงิน 2,000 บาท ส่วนที่เหลือบริษัทประกันจะรับผิดชอบ แต่หากเป็นกรณีค่าเสียหายทั้งหมดมากกว่าวงเงินความคุ้มครอง เช่น ค่าเสียหายทั้งหมด 110,000 บาท ในขณะที่ความคุ้มครองสูงสุดของประกันรถยนต์คุณอยู่ที่ 100,000 บาท คุณจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 10,000 บาทที่เกินมา รวมเป็นเงินที่คุณต้องจ่ายทั้งหมด 12,000 บาท คุณควรเช็คกรมธรรม์ในประกันรถยนต์ที่คุณกำลังพิจารณาอยู่ด้วย จำไว้ว่ายิ่งค่าเสียหายส่วนแรกน้อย ค่าเบี้ยประกันรถยนต์ก็จะยิ่งสูง
3.เบี้ยประกันรถยนต์
จำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายสำหรับประกัน เรียกว่า เบี้ยประกันรถยนต์ แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เพราะว่าคนที่มีรถแต่ละคนไม่เหมือนกัน หนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ที่กำลังทำประกันรถยนต์อาจต้องจ่ายเบี้ยประกันรถยนต์แพงกว่าพนักงานบริษัทวัยกลางคน เนื่องจากคนขับรถที่อายุน้อยมีความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุสูงกว่าคนขับที่มีประสบการณ์มากกว่าแน่นอนว่า เบี้ยประกันของคุณขึ้นอยู่กับธนาคารด้วย ธนาคารหรือบริษัทที่คุณทำประกันรถยนต์ด้วยจะเป็นผู้กำหนดดอกเบี้ยของเบี้ยประกันรถยนต์ของคุณ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและรุ่นของรถคุณ รวมถึงปีที่ผลิต และอื่นๆ เมื่อเปรียบเทียบเบี้ยประกันรถยนต์ พยายามให้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเมื่อต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถของคุณ
4.ความมั่นคงของบริษัทประกัน
เมื่อคุณได้ประกันรถยนต์ที่สนใจอยากทำประกันด้วยแล้วสักสองสามที่ในใจ ลองถามตัวเองเกี่ยวกับผู้ให้ประกันดูว่า บริษัทนี้มั่นคงไหม? เป็นบริษัทใหม่หรือเปล่า? และบริษัทนี้กำลังได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อและเสี่ยงต่อการล้มละลายหรือเปล่า? คุณต้องเช็คจนแน่ใจว่าบริษัทประกันรถยนต์ที่คุณกำลังจะสมัครนั้นเชื่อถือได้! คุณจะได้ไม่ต้องเสียเงินเปล่าให้กับบริษัทประกันที่อาจไม่คืนเงินให้คุณได้ทั้งหมดหลังล้มละลายไปข้อมูลที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกประกันรถยนต์อาจจะดูยุ่งยากไปสักหน่อย แต่การรู้ว่าจะเปรียบเทียบอะไรและควรมองหาอะไรในการเลือกประกันรถยนต์จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา เงิน และแรงกายด้วย คุณจะได้นำเงินนั้นไปใช้กับสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอย่างเช่น ครอบครัวของคุณ
5.การบริการและขั้นตอนของการเคลมประกัน
สำหรับข้อนี้คุณอาจจะต้องสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ตและเว็บบอร์ดต่างๆ เพื่อทราบข้อมูลเกี่ยวกับการเคลมประกันกับบริษัทที่คุณแพลนจะทำประกันด้วยว่า การทำเรื่องเคลมและรับการยืนยันมีความยากง่ายขนาดไหน เนื่องจากขั้นตอนการเคลมอาจจะมีระบุในเว็บไซต์ของบริษัทประกันแต่อาจแตกต่างจากความเป็นจริงก็ได้ประสบการณ์ของคนอื่นๆในการทำเรื่องและรับการยืนยันจะบอกคุณได้ว่าบริษัทประกันหรือธนาคารนั้นปฎิบัติต่อลูกค้าอย่างไร คุณก็คงอยากได้บริษัทประกันที่ดูแลลูกค้าดี ให้บริการและขั้นตอนการเคลมที่ชัดเจนและราบรื่นใช่ไหมล่ะ?
ประกันภัยรถยนต์ชั้น 3 จะคุ้มครองเฉพาะของบุคคลภายนอก และคู่กรณีเท่านั้น แต่จะไม่คุ้มครองในกรณีใดๆ ทั้งสิ้นแก่รถยนต์ของผู้เอาประกัน หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ก็คุ้มครองคู่กรณีอยู่แล้ว แต่ตัวรถยนต์ของผู้เอาประกันนั้น ผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเอง ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และค่าสินไหมกรณีเสียชีวิตนั้น จะคุ้มครองทั้งบุคคลภายนอก และผู้เอาประกันตามปกติ มีเพียงรถยนต์ของผู้เอาประกันเท่านั้นที่ไม่อยู่ในขอบข่ายความคุ้มครองของกรมธรรม์ประเภทนี้
ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยรถ
รถยนต์ราคา 800,000 บาท อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 6% ต่อปี ถ้าต้องการใช้เวลาผ่อนรถ 5 ปี หรือ 60 งวด จะมีการคิดดอกเบี้ยและจำนวนเงินงวดที่ต้องจ่ายดังนี้
จำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด = เงินต้น × อัตราดอกเบี้ย × จำนวนปี เช่น 800,000 × 6% × 5 = 240,000 บาท
ทำไมต้องต่อประกันรถยนต์แบบออนไลน์? เพราะว่าสมัยนี้การทำประกันรถยนต์ก็ง่ายเเสนง่านเพราะสามารถสมัครประกันรถยนต์แบบออนไลน์ได้ทันที ถึงแม้ว่าการซื้อประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบันนั้น มีหลายช่องทาง แต่ช่องทางที่ตอบโจทย์ให้กับคนในยุคนี้มากที่สุด นั่นก็คือ ซื้อประกันรถออนไลน์
นั้นก็เพราะว่าเมื่อคุณตรวจสอบทุกอย่างแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็มาถึงการเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์ ซึ่งสมัยนี้ คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งวนเปรียบเทียบราคากับบริษัทประกันภัยหลายๆที่ให้ปวดหัวอีกต่อไปแล้วเพราะว่าท่านไม่จำดป็นต้องไปเข้าในเว็บไซต์ของบริษัทประกันภัยหลายๆเว็บเพื่อเปรียบเทียบเว็บประกัน เพราะรายละเอียดเหล่านี้ คุณสามารถหาได้จากเว็บไซต์เดียว อย่างเช่น เว็บไซต์ MoneyGuru.co.th เป็นต้น
นั้นก็เพราะว่าเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นอีกหนึ่งเว็บไซต์ ที่ให้บริการเปรียบเทียบประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ ที่คุณสามารถไว้วางใจได้ ว่าจะได้เบี้ยประกันที่ถูกที่สุด โดยเว็บไซต์ MoneyGuru.co.th ได้พัฒนาการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าได้บริษัทประกันภัยชั้นนำ บริการ และการคุ้มครองที่ดีที่สุดนอกจากนี้ในการทำประกันภัยรถยนต์ในแต่ละปี คุณควรจะมีความรู้ในการเลือกซื้อประกันภัยและคุณยังต้องศึกษาความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการรายนั้น ๆ อีกด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่ากับตัวคุณเองมากที่สุดนั้นเอง
นอกจากคุณจะต้องศึกษาหาข้อมูลเรื่องประกัยรถยนต์ให้มาก ๆ แล้ว เพื่อให้คุณได้ประกันภัยที่ถูกและดีจริง ๆ คุณควรค้นหาและตรวจสอบรีวิวของผู้บริโภคคนอื่น ๆ ตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ด้วยนะคะ เพื่อใช้เป็นหลักในการพิจารณาบริษัทประกันภัยค่ะ อย่างไรก็ดี ในการตรวจสอบนั้น
ทำให้คุณต้องตรวจสอบและประเมินความน่าเชื่อถือของบริษัท นายหน้าประกันภัยรถยนต์ นโยบายของบริษัท ซึ่งปัจจุบันทุกบริษัทล้วนมีเว็บไซต์เพื่อให้ข้อมูลขององค์กรที่คุณสามารถเข้าไปศึกษาเพื่อหาความรู้ ตลอดจนนโยบายของบริษัทได้ทุกเมื่อ ซึ่งนโยบายของบริษัทก็คือวิสัยทัศน์ที่สามารถประเมินในเบื้องต้นได้ว่า บริษัทนั้น ๆ มีแนวคิดในการให้บริการลูกค้าอย่างไร
นอกจากนี้ คุณควรต้องหาข้อมูลเรื่องการให้บริการลูกค้า ของแต่ละบริษัทประกันภัยด้วยก็จะเป็นการดีซึ่งคุณสามารถตรวจสอบและประเมินได้จากการ โทรสอบถามข้อมูลกับฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ หรือพนักงานขายของบริษัทประกันภัยแต่ละที่และลองสอบถามเกี่ยวกับค่าเบี้ยและเงื่อนไขต่าง ๆ ดูค่ะ เพราะการให้ข้อมูลของพนักงานจะทำให้เราทราบได้ว่า มาตรฐานหรือคุณภาพการให้บริการของบริษัทแห่งนั้นเป็นอย่างไร พนักงานมีความสุภาพและให้บริการด้วยไมตรีจิตหรือไม่ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับประกันภัยมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นต้น
นั้นก็เพราะรถกระบะที่จดทะเบียนพาณิชย์นั้น บริษัทประกันภัยมักจะมองว่ารถประเภทนี้มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่ารถกระบะที่จดทะเบียนแบบส่วนบุคคลครับ จึงทำให้รถกระบะที่จดทะเบียนแบบพาณิชย์นั้นมักจะทำประกันภัยได้สูงสุดที่ ประกันชั้น 2+ เท่านั้น ส่วนรถกระบะที่จดทะเบียนเป็นรถส่วนบุคคลก็สามารถทำประกันชั้น 1 ได้เลย
Read More..
เพราะไม่มีการคุ้มครองการเสื่อมสภาพของรถ แต่ถ้าจะประนีประนอม จะต้องทำการตรวจสอบว่า ได้ทำประกันมากี่ปี มีการเคลมประกันมาแล้วกี่ครั้ง และจะต้องทำการตรวจสอบบาดแผลที่รถยนต์ว่าเกิดเหตุขึ้นจริงหรือแค่ต้องการปรับปรุงสีใหม่ด้วยตนเอง ถ้าเป็นการทำประกันปีแรกแล้วแจ้งซ่อม จะมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายร่วมอย่างน้อย 50% ของค่าซ่อมทั้งหมด แต่ถ้าเป็นการทำประกันต่อเนื่องกับทางบริษัทประกันภัยรถยนต์ โดยทำติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ปกติจะมีการประนีประนอมในการร่วมรับผิดชอบความเสียหายระหว่างบริษัท และผู้เอาประกัน จะเป็นจำนวนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับลักษณะความเสียหาย และประวัติการเคลมของผู้เอาประกันภัย
- ปี 2550 นับอายุได้ 1 ปี ปี 2551 นับอายุได้ 2 ปี ไปเรื่อยๆ และใน ปี 2554 นับอายุได้ 5 ปี เป็นต้น
โดยทั่วไป บริษัทประกันภัยจะรับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 สำหรับรถอายุไม่เกิน 7 ปีเท่านั้น แต่ก็มีบางบริษัทที่รับถึง 9 ปี หรือกรณีมีการต่อประกันภัยรถยนต์ต่อเนื่องกับบริษัทเดิม ทางบริษัทประกันภัยอาจพิจารณาอนุโลมรับประกันให้รถยนต์ที่มีอายุเกิน 10 ปีได้ ซึ่งก็ต้องพิจารณาจากประวัติการเคลมด้วย หากอายุรถยนต์ของคุณเกินกว่าที่บริษัทประกันภัยกำหนด และไม่สามารถทำประกันชั้น 1 ได้อีกต่อไปแล้ว คุณสามารถเลือกทำประกันรถยนต์ประเภทอื่นๆ ได้ โดยพิจารณาจากความคุ้มครองที่ต้องการ ทางเราแนะนำเป็นประกันรถยนต์ประเภท 2+ และ 3+ ตามลำดับ
โดยทั้งสองประเภทนี้ จะยังให้ความคุ้มครองตัวรถคันเอาประกันในกรณีชนกับยานพาหนะทางบก แต่ประเภท 2+ จะคุ้มครองกรณีสูญหายและไฟไหม้เพิ่มขึ้นมาด้วย โดยเราสามารถเลือกเพิ่มความคุ้มครองส่วนนี้ได้นั่งเองครับ
ความคุ้มครองของประกันภัยรถยนต์ชั้น 2+ (ประกันรถกระบะ)
- คุ้มครองค่าเสียหายเท่าทุนประกันภัย
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ค่าความเสียหายและค่าซ่อมรถของคู่กรณี
- คุ้มครองค่าความเสียหายและค่าซ่อมรถของเราในกรณีที่เป็นการชนแบบรถชนรถเท่านั้น
- คุ้มครองกรณีคนขับรถบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
- คุ้มครองผู้โดยสารในรถ กรณีบาดเจ็บ เสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพ
- คุ้มครองรถหาย หรือ ไฟไหม้
- ประกันตัวผู้ขับขี่
- ให้ความคุ้มครองส่วนอื่นๆ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่เราทำไว้
ประกันชั้น 1 กับประกันชั้น 2+ ของรถกระบะต่างกันยังไง
ส่วนความต่างของประกันชั้น 1 กับ 2+ นั้นมีเพียงแค่ ประกันชั้น 1 นั้นจะคุ้มครองในทุกๆกรณีที่รถของคุณเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการถอยชนประตูบ้าน เบียดเสา หรือแม้แต่การชนที่ไม่มีคู่กรณีหรือไม่สามารถระบุตัวคู่กรณีได้ ประกันชั้น 1 ก็จะให้ความคุ้มครอง
สรุปจริงๆแล้วนั้นประกันชั้น 1 กับประกันชั้น 2+ นั้นเรียกได้ว่าความคุ้มครองที่ให้มานั้นแทบไม่ต่างกันเลย ซึ่งหากใครที่มีรถกระบะที่จดทะเบียนแบบพาณิชน์เอาไว้ และทำประกันชั้น2+ ก็สบายใจได้เลย เพราะความคุ้มครองแน่นมาก
ดังนั้น 7 x 100,000 จึงหมายความว่า กรมธรรม์นี้คุ้มครอง ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรวม 7 คน โดยมีวงเงินคุ้มครองคนละ 100,000 บาทนั่นเอง
ซึ่งโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์นี้ก็จะให้ความสำคัญกับประกันภัยรถยนต์เป็นหลักนั่นเอง และหน้าที่หลักๆ ของโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ก็คือ การให้คำแนะนำในเรื่องของประกันภัยรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ของหลาย ๆ บริษัท ทั้งในส่วนของ ค่าเบี้ยประกัน ความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ รวมถึงวงเงินที่ให้ความคุ้มครองอีกด้วย
ซึ่งนั่นจะทำให้เราได้รู้ว่าข้อดีที่สุดอย่างหนึ่งของโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ ก็คือ โบรกเกอร์จะไม่ได้สังกัดบริษัทประกันภัยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สามารถนำเสนอประกันภัยของทุกๆ บริษัทที่น่าสนใจให้กับพวกเราที่สนใจทำประกันภัยรถยนต์ได้ คิดง่ายๆ ก็คือ โบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์นั้นก็เปรียบเสมือนร้านค้าแบบมินิมาร์ท ที่จะมีสินค้าหลายๆ อย่างมาวางขายให้เราได้เลือกซื้อ เช่นกันที่ โบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์นั้นก็มีประกันภัยรถยนต์หลายๆ ประเภท เช่น ประกันภัยรถยนต์ ชั้น 1 2 2+ 3 และ 3+ เป็นต้น ของหลายๆ บริษัทประกันภัย ให้เรานั้นสามารถเลือกให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปของพวกเราให้มากที่สุดนั่นเอง
และข้อดีอีกอย่างของโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ก็คือ พวกเรา(ลูกค้า) สามารถที่จะเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ของประกันภัยรถยนต์แต่ละประเภทของแต่ละบริษัทก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยได้ เช่น ค่าเบี้ยประกัน ทุนจดประกัน ขอบเขตการครอบคลุมการชดเชยค่าเสียหาย เป็นต้น รวมถึงบางครั้งยังมีข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมให้อีกอย่างเช่น ผ่อนจ่ายค่าเบี้ยประกัน 0% เป็นต้น
2. คุ้มครองความเสียหายของรถยนต์ผู้เอาประกันภัย
3. คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สิน
4. คุ้มครองความเสียหายต่อร่างการและชีวิตบุคคลภายนอก
5. คุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล
6. คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
7. คุ้มครองกรณีรถสูญหาย และไฟไหม้
8. คุ้มครองอุทกภัยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
9. เงินประกันตัวสำหรับผู้ขับขี่